- Home
- Our Tips
(Non) secret tips for good health: how to simply maintain good physical and mental health? Did you know how dangers from food and daily conducts affect your health? Gracz would like to give you some of the (non) secret tips for maintaining good health...
ทาน "กล้วย" สักนิด ก่อนออกกำลังกาย
ตอนนี้เทรนด์ออกกำลังกายให้หุ่นเฟิร์มและสุขภาพดีกำลังมา แต่รู้ไหมว่าก่อนที่จะออกกำลังกายนั้นอย่าปล่อยให้ท้องว่างเพราะว่าจะทำให้ไม่สามารถออกกำลังกายได้เต็มที่ แถมร่างกายยังจะดึงเอาพลังงานที่อยู่ในกล้ามเนื้อออกมาใช้
กล้วย เป็นผลไม้ที่นักกีฬามักรับประทานในช่วงพักการแข่งขัน เพราะว่ากล้วยมีสารอาหารอย่างโพแทสเซียม วิตามินบี และแมกนีเซียม สามารถช่วยฟื้นฟูร่างกายจากการเหน็ดเหนื่อยได้ ยิ่งถ้ารับประทานกล้วยในช่วงก่อนออกกำลังกาย ไฟเบอร์ในกล้วยจะยิ่งทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายไปยังกล้ามเนื้อต่างๆ ทำงานได้ดีขึ้น ที่สำคัญคือกล้วยเป็นผลไม้ที่ย่อยง่ายและมีรสชาติหวาน เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะรู้สึกสดชื่นและไม่ทำให้จุกในเวลาที่ต้องออกกำลังกายอีกด้วยค่ะ
ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า
ผลไม้ , กล้วย , ร่างกาย , ออกกำลังกาย , ประโยชน์
แตงกวา ประโยชน์เน้นๆ
แตงกวาเป็นผักที่คนไทยนิยมทานเป็นเครื่องเคียงกับอาหารมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอาหารจานเดียว หรือใช้จิ้มกินกับน้ำพริก แต่ใครพอจะทราบหรือไม่ว่าแตงกวาที่เรากินกันมีประโยชน์อะไรบ้าง เผื่อคนที่ไม่ชอบอาจจะหันกลับมาทานบ้าง
๐ ช่วยทดแทนน้ำเปล่าได้ในวันที่ร่างกายเราได้รับน้ำไม่เพียงพอ เพราะแตงกวามีน้ำเป็นส่วนประกอบถึงร้อยละ 90
๐ ช่วยให้อุณหภูิมิในร่างกายเย็นขึ้น
๐ ช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื่น และบรรเทาอาการแสบร้อนจากการถูกแดดเผา
๐ ช่วยลดสารพิษในร่างกาย และช่วยละลายนิ่วในไต
๐ มีวิตามินเพียบ ทั้งวตามินซี วิตามินเอ เบต้าแคโรทิน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ก
๐ เหมาะสำหรับการลดน้ำหนัก เพราะมีส่วนประกอบของน้ำอยู่มาก แต่แคลอรี่ต่ำ
๐ เหมาะสำหรับผู้ที่ท้องผูกเรื้อรัง เพราะมีใยอาหารสูง และน้ำในแตงกวาจะช่วยให้อุจจาระเหลวขับถ่ายได้ง่ายกว่าเดิม
๐ หากเคี้ยวแตงกวา จะช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์จากช่องปากได้เป็นอย่างดี
ที่มา : SpokeDark.tv
โภชนาการดี ของ 'อินทผลัม'
สำนักจุฬาราชมนตรีประกาศให้วันที่ 18 มิถุนายน 2558 เป็นวันเริ่มต้นถือศีลอด ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1436ด้วยเหตุนี้ "อินทผลัม" จึงขายดี เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกันแน่นอน เพราะในระหว่างการถือศีลอด จะต้องงดอาหารและเครื่องดื่มระหว่างรุ่งสางจนถึงตะวันลับขอบฟ้า การได้ผลไม้หวานๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น
อินทผลัม ซึ่งถือเป็นผลไม้มหัศจรรย์ อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ตั้งแต่วิตามิน A, วิตามิน B1, วิตามิน B2, วิตามิน B6, วิตามิน K, แคลเซียม, ซัลเฟอร์, เหล็ก, โพแทสเซียม, ฟอสฟอรัส, แมงกานิส, แมกนีเซียม และน้ำมันโวลาไทล์ ฯลฯ ที่สำคัญ ความหวานที่จะช่วยให้ร่างกายไม่โหย แต่เห็นหวานๆ แบบนี้ เป็นความหวานที่เป็นประโยชน์กับร่ายกาย แม้กระทั่งผู้ที่เป็นเบาหวานก็รับประทานได้
เรื่องนี้ Juma M Alkaabi นายแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสหรัฐอาหรับ เอมิเรสต์ ได้ทำวิจัยแล้วพบว่า ไม่ทำให้ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นแต่อย่างใด เช่นเดียวกับผู้เชี่ยวชาญเรื่องธรรมชาติบำบัด อย่าง อ.สุทธิวัสส์ คำภา ที่ยืนยันอีกแรงว่า ผู้ป่วยเบาหวานรับประทานอินทผลัมได้ และยังมีฤทธิ์ช่วยบำรุงตับอ่อนอีกด้วย
จึงมั่นใจได้ว่าไม่ทำให้อ้วน ไม่มีคอเลสเตอรอล ไขมันต่ำ ยังช่วยในระบบย่อยอาหาร เพราะอุดมด้วยไฟเบอร์ ขณะเดียวกันก็สร้างสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ จึงทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน
หน้ากากอนามัย ป้องกันโรคอย่างมั่นใจต้องใส่แบบนี้
ด้วยโรคภัยและเชื้อไวรัสตัวใหม่ที่ทยอยเกิดขึ้นมาไม่ซ้ำหน้า ทำให้เราต่างตื่นตัวและดูแลตัวเองกันมากขึ้น อย่างการสวมใส่หน้ากากอนามัยก็เป็นวิธีป้องกันโรคในเบื้องต้นทางหนึ่ง ซึ่งหากจะสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันเชื้อโรคได้อย่างมั่นใจ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขก็มีคำแนะนำในการสวมใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้องตามนี้จค่ะ
1. ล้างมือให้สะอาดก่อนหยิบหน้ากากอนามัยมาสวมใส่
2. สวมหน้ากากอนามัยโดยหันด้านสีเข้มออกด้านนอก ด้านสีจางชิดจมูก ขอบลวดต้องอยู่ด้านบน และรอยจีบพับต้องคว่ำลง
3. ขยับหน้ากากอนามัยให้ครอบคลุมทั้งจมูกและปาก
4. สำรวจสายหน้ากากว่ากระชับกับใบหน้าหรือไม่ หากสายหน้ากากหย่อนยาน ให้เปลี่ยนหน้ากากอนามัยอันใหม่ทันที
5. หากหน้ากากอนามัยเปรอะเปื้อนหรือชำรุด ให้เปลี่ยนหน้ากากอนามัยอันใหม่ทันที
6. หากใช้หน้ากากที่ทำด้วยกระดาษ ควรเปลี่ยนทุกวัน
7. สำหรับหน้ากากอนามัยชนิดผ้า ควรซักและตากแดดให้แห้งทุกครั้งหลังใช้งาน
8. แม้จะใส่หน้ากาอนามัยอยู่ ก็ต้องหมั่นล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง โดยเฉพาะเวลาจามหรือไอ
9. เมื่อจะทิ้งหน้ากากที่ใช้แล้ว ควรใส่ถุงพลาสติก และทิ้งในถังขยะให้มิดชิด
ที่มา : Kapook
สุขภาพ , กระทรวงสาธารณสุข , หน้ากากอนามัย , โรค , ป้องกัน
ใบเตย 8 สรรพคุณเด็ด ฟื้นฟูสุขภาพ บำรุงความงาม
ประโยชน์ของใบเตยดูเหมือนจะกินขอบเขตมากไปกว่าแค่ใช้ผสมสีและเพิ่มกลิ่นหอมในอาหารซะแล้ว เพราะจากข้อมูลด้านล่างนี้ ทำให้รู้เลยว่าสรรพคุณของใบเตยก็เด็ดในเรื่องสุขภาพไม่แพ้สมุนไพรรักษาโรคชนิดอื่น ๆ เลย
- บำรุงประสาท แก้อาการอ่อนเพลีย
ดื่มน้ำใบเตยวันละ 2 แก้ว เช้าและกลางวัน จะช่วยให้อาการอ่อนเพลียที่มีอยู่หายไป เนื่องจากใบเตยมีฤทธิ์บำรุงกำลังและระบบประสาท ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้
- บำรุงหัวใจ ลดความดันโลหิต
ใบเตยเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการบำรุงหัวใจและหลอดเลือด ฉะนั้นผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงจึงสามารถต้มน้ำใบเตยไว้ดื่มเช้า- เย็น เพื่อให้ใบเตยช่วยปรับระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้
- รักษาโรคเบาหวาน
ต้นและรากของใบเตยมีสรรพคุณช่วยขับปัสสาวะและรักษาโรคเบาหวาน เพราะใบเตยมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยนำราก 1 กำมือไปต้มเป็นน้ำดื่มทุกเช้า-เย็น
- รักษาโรคหัด
อาการโรคหัดและโรคผิวหนังสามารถรักษาได้ด้วยใบเตย เพียงแค่คุณนำใบเตยมาตำพอหยาบ ๆ จากนั้นพอกลงบนผิว ใบเตยจะช่วยล้างพิษ เชื้อโรค และไวรัสที่อยู่บนผิวได้
- บรรเทาโรคข้อและโรครูมาตอยด์
ใบเตยมีฤทธิ์เย็น มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดของข้อและกระดูก โดยเฉพาะโรครูมาตอยด์ วิธีการใช้ก็แค่นำใบเตยสด 3 ใบมาล้างให้สะอาด จากนั้นสับพอละเอียดแล้วผสมน้ำมันมะพร้าวลงไปเล็กน้อย คนให้เข้ากัน เก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด ใช้เป็นยาทาบรรเทาอาการปวดและอักเสบของข้อ
นอกจากประโยชน์ใบเตยจะช่วยฟื้นฟูสุขภาพได้แล้ว ใบเตยยังมีสรรพคุณในด้านบำรุงความงามตามนี้ด้วยล่ะ
- รักษารังแค
นำใบเตยประมาณ 2-5 ใบมาบดให้ละเอียดจนเป็นผงคล้ายแป้ง จากนั้นนำผงใบเตยมานวดศีรษะเป็นประจำจะช่วยลดรังแคได้
- ย้อมผมดำ
แม้ใบเตยจะมีสีเขียว แต่เมื่อนำมาต้มจนเป็นสีเขียวเข้มแล้วมาผสมกับน้ำลูกยอต้ม คุณจะได้สีย้อมผมสีดำที่คืนความดำเงาให้เส้นผมแบบไม่เสี่ยงต่อสารเคมีแล้วล่ะค่ะ
- บำรุงผิวพรรณผ่องใส
จากสรรพคุณทางยาของใบเตยที่ช่วยรักษาโรคผิวหนังได้ ดังนั้นจึงมีการนำใบเตยมาปั่นแล้วพอกบำรุงผิวพรรณให้ผ่องใสได้เหมือนกัน
ที่มา : Kapook
มังคุดนึ่ง ต้านมะเร็ง ได้จริงหรือ?
มังคุดที่ถูกนำไปนึ่งหรือนำไปต้มจนสุกนั้นยังไม่มีผลการศึกษาใดที่ออกมายืนยันได้ว่ามีประโยชน์อย่างแท้จริง แต่คาดว่าที่สรรพคุณมังคุดนึ่งถูกบอกต่อกันมาอาจจะเป็นเพราะประโยชน์จากเปลือกมังคุดเสียมากกว่า เพราะในเปลือกมังคุดมีสารที่ให้รสฝาดอย่าง แทนนิน (Tannin) และสารในกลุ่มแซนโทน (Xanthones) กว่า 40 ชนิด โดยเฉพาะสารแมงโกสติน (Mangostin) ที่พบในมังคุด ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดอาการอักเสบต่าง ๆ รวมทั้งต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนองได้อีกด้วย และการนำมังคุดไปต้มก็เป็นการทำให้สารที่อยู่ในมังคุดซึมเข้าสู่เนื้อมังคุดนั่นเอง สารเหล่านั้นจะซึมเข้าสู่เนื้อมังคุดแต่ก็มีปริมาณไม่มากเท่าไรนัก แต่รับประทานเพื่อสุขภาพก็สามารถทำได้ตามสะดวกค่ะ
การรับประทานมังคุดนึ่งไม่สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ เนื่องจากสำนักงานอาหารและยา หรือ อย. ได้มีการให้ข้อมูลเพียงแค่ว่า สารแซนโทนในมังคุดมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ลดการอักเสบ ลดความดันโลหิต แก้แพ้ และต้านมะเร็งได้ แต่ก็ยังไม่มีผลการยืนยันอย่างชัดเจนว่า การรับประทานมังคุดนึ่งสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ จึงไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่โอ้อวดเกินจริงค่ะ
และถึงแม้ว่ามังคุดจะไม่สามารถรักษาโรคมะเร็งให้หายได้แต่ก็สามารถช่วยลดการเกิดเซลล์มะเร็งได้ โดยมีผลการวิจัยจากศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย บริษัท เอเชียนไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) และ ม.เชียงใหม่ ได้ค้นพบสูตรสารต้านมะเร็งจากสารสกัดมังคุดทั้งลูก โดยสารสกัดจากมังคุดช่วยสร้างเม็ดเลือดขาวชนิด ทีเอช 1 (Th1) และ ทีเอช 17 (Th17) ที่มีฤทธิ์ช่วยกำจัดและป้องกันการก่อเกิดเซลล์มะเร็งเกือบทุกชนิดได้ อีกทั้งน้ำมังคุดก็ยังช่วยสร้างเม็ดเลือดขาวชนิดเทร็ก (Treg) ที่ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่สมดุล และเมื่อนำมาทดลองกับผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะสุดท้ายก็พบว่า ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดค่ะ
ที่มา : Kapook
หมากฝรั่ง กลืนแล้วอันตรายหรือไม่?
รู้หรือไม่ว่า การกลืนหมากฝรั่งไม่ใช่เรื่องที่อันตราย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ เพราะหมากฝรั่งนั้นผลิตจากสารประกอบที่ไม่สามารถย่อยสลายด้วยน้ำย่อยในร่างกายได้ แต่เมื่อเรากลืนหมากฝรั่งลงไปแล้ว จะไม่ลงไปตกค้างอยู่ในกระเพาะ แต่จะค่อย ๆ เคลื่อนลงไปตามลำไส้ใหญ่และถูกขับถ่ายออกมาในที่สุด โดยกระบวนการนี้จะใช้ระยะเวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์เท่านั้นค่ะ
ในกรณีที่การกลืนหมากฝรั่งนั้นอาจจะเป็นอันตรายก็คือ หากกลืนหมากฝรั่งลงคอแล้วหมากฝรั่งเกิดไปจับตัวกับสิ่งที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ ก็จะทำให้เกิดการอุดตันของลำไส้ที่อาจจะเป็นอันตรายได้ และอีกกรณีหนึ่งก็คือ ขนาดของหมากฝรั่งมีขนาดใหญ่เกินไป โดยในกรณีนี้มักจะเกิดขึ้นในเด็ก ซึ่งขนาดหมากฝรั่งที่ใหญ่เกินไปก็อาจจะทำให้เกิดการอุดตันของลำไส้ในเด็กหรือทำให้เด็กเกิดอาการท้องอืดได้ หรือถ้าเป็นในผู้ใหญ่ หากรับประทานหมากฝรั่งและกลืนหมากฝรั่งก้อนใหญ่เข้าไป ก็อาจจะทำให้สารก่อนิ่วเพิ่มสูงขึ้นและทำให้เกิดนิ่วที่ไตได้ค่ะ แต่ก็สบายใจได้เปลาะหนึ่งค่ะเพราะกรณีนี้เกิดขึ้นได้น้อยมาก
ที่มา : Kapook
ผักดีต้องทาน กับคุณค่าทางโภชนาการอันยอดเยี่ยม
กะหล่ำปลีเป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ไม่ว่าจะเป็นวิตามินหรือแร่ธาตุ ที่มีอยู่ในปริมาณสูง รวมทั้งไฟเบอร์ที่ดีต่อร่างกาย นอกจากนี้ค่าดัชนีน้ำตาลในกะหล่ำปลีหนึ่งถ้วยก็ยังมีแค่เพียง 2 กรัมเท่านั้น ส่วนแคลอรีนั้น กะหล่ำปลี 100 กรัมก็มีปริมาณแคลอรีอยู่ที่ 25 กรัมค่ะ
กะหล่ำปลีไม่ได้มีดีแค่คุณค่าทางอาหารเท่านั้นแต่สรรพคุณที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพก็มีดีเช่นเดียวกัน แถมยังมีตั้งหลายอย่างและหนึ่งในนั้นคือช่วยลดคอเลสเตอรอลอีกด้วย
ไฟเบอร์ในกะหล่ำปลีมีส่วนสำคัญที่ทำให้ผักชนิดนี้กลายเป็นอาหารที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบผักสดหรือการนึ่ง และการรับประทานกะหล่ำปลีจะทำให้ไฟเบอร์ในผักเข้าไปทำงานในระบบย่อยอาหารและทำให้ร่างกายขับถ่ายได้ดีขึ้นอีกด้วย เมื่อระบบการขับถ่ายดี ร่างกายก็จะขจัดคอเลสเตอรอลออกมาได้ดีขึ้นอีกด้วย
ที่มา : Kapook
ที่มา : Kapook
อาหาร , ผัก , สุขภาพ , คอเลสเตอรอล
น้ำมะเขือเทศ สู้วัยทอง
สาวๆ ที่กำลังกลุ้มใจกับการจัดการสารพัดอาการที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนตามวัยที่สูงขึ้นของตนเอง หรือที่เรียกกันว่า “วัยทอง” เตรียมเฮได้เลย
เพราะทีมนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว เมดิคัลเปิดเผยผลการศึกษาที่พบว่า การดื่มน้ำมะเขือเทศวันละแก้วช่วยลดอาการวัยหมดประจำเดือนซึ่งรวมถึงความเครียด อาการสะบัดร้อนสะบัดหนาว อาการวิตกทุกข์ร้อน ได้มากเกือบครึ่ง
ขณะเดียวกัน การศึกษาหญิงวัยทองจำนวน 93 คน ที่ให้ดื่มน้ำมะเขือเทศเป็นประจำก่อนวัดอัตราการเต้นของหัวใจและการทำงานอื่นๆ ของร่างกายครั้งนี้ยังพบอีกว่า หากดื่มน้ำมะเขือเทศวันละ 200 มิลลิลิตร วันละ2 ครั้ง ติดต่อกันนาน 8 สัปดาห์ จะมีผลต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อต่างๆ รวมถึงการช่วยให้เผาผลาญแคลอรีได้ดีขึ้น ขณะที่ระดับไขมันในเลือดลดลง
ที่มา : เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์
สุขภาพ , ความเครียด , วัยทอง , เครื่องดื่ม
อาหารเช้า สำคัญขนาดไหนกัน ?
อาหารเช้ามื้อสำคัญที่สุดของวันกลับเป็นมื้ออาหารที่คนละเลยมากที่สุด ไม่ว่าจะตื่นสายบ้างล่ะ ต้องรีบไปโรงเรียน ไปทำงานบ้างล่ะ เลยพลาดเติมพลังรับวันใหม่ไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่อาหารเช้าให้ประโยชน์กับร่างกายมากจริง ๆ ซึ่งทางกรมอนามัยให้ข้อมูลว่า คนที่ไม่ทานอาหารเช้าเป็นประจำ มีความเสี่ยงที่จะเผชิญปัญหาสุขภาพดังนี้
- มีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนมากกว่าคนทานอาหารเช้าเป็นประจำ เพราะการไม่ทานอาหารเช้าจะทำให้ระบบ เผาผลาญเริ่มต้นช้าลง ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง ร่างกายจึงรู้สึกหิวอยู่ตลอดเวลา เมื่อเป็นแบบนี้เราก็ยิ่งทานมากขึ้นในมื้อต่อไป
- เสี่ยงโรคเส้นเลือดสมองและโรคหัวใจ เพราะในตอนเช้าเลือดมีความเข้มข้นสูง ทำให้เส้นเลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมองหรือหัวใจอุดตันได้ แต่ถ้าเราทานอาหารเช้าจะช่วยเจือจางระดับความเข้มข้นในเลือดได้
- คนที่รับประทานอาหารเช้าจะมีภาวะผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน หรือที่เรียกว่า "ภาวะดื้อต่ออินซูลิน" ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานลดลงถึงร้อยละ 35-50 แต่ถ้าใครไม่ชอบทานอาหารเช้าก็เท่ากับว่า คุณเสี่ยงต่อการเป็น "โรคเบาหวาน" เพิ่มขึ้น
- มีโอกาสเป็นโรคนิ่ว ฟังดูไม่น่าเกี่ยวกัน แต่มีความสัมพันธ์กันจริง ๆ เพราะการไม่ทานอาหารนานกว่า 14 ชั่วโมง จะทำให้คอเลสเตอรอลในถุงน้ำดีจับตัวกันนานเกินไป ยิ่งนานเข้าสิ่งที่จับตัวกันนั้นจะกลายเป็นก้อนนิ่ว แต่ถ้าเรากินอาหารเช้าเข้าไป อาหารเช้าจะไปกระตุ้นให้ตับปล่อยน้ำดีออกมาละลายคอเลสเตอรอลที่จับตัวกันได้ด้วย
เห็นไหมล่ะว่าคนที่ไม่ชอบทานอาหารเช้าเสี่ยงต่อสารพัดอาการเลยเชียว คงต้องรีบปรับพฤติกรรมกันใหม่แล้วล่ะ ตื่นนอนให้เช้าขึ้นสักนิด จะได้มีเวลานั่งทานอาหารเช้าแบบชิล ๆ และจริง ๆ เราไม่จำเป็นต้องทานมื้อใหญ่ก็ได้ เลือกทานอาหารง่าย ๆ แค่ข้าวต้ม, โจ๊ก+ขนมปัง 1 คู่, ข้าวไข่เจียว, แซนวิชชนิดต่าง ๆ หรือจะทานซีเรียลใส่นมเติมจมูกข้าวกับกล้วยน้ำว้า 1 ผล เลือกทานอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ช่วยเติมพลังให้ร่างกายแถมยังลดสารพัดโรคร้ายได้แล้ว
ที่มา : Kapook
หน้าฝนอย่าได้สน อย่าได้แคร์ ดูแลสุขภาพให้ดีก็เฮลท์ตี้ได้
ดูแลสุขภาพในหน้าฝนไม่ใช่เรื่องยาก แม้จะต้องใช้ชีวิตอยู่ในช่วงที่เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวอากาศร้อน ถ้าได้รู้จักวิธีดูแลสุขภาพหน้าฝนอย่างถูกต้องก็หมดกังวลเรื่องป่วยไปได้เลย
- ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตรเพื่อรักษาสมดุลร่างกายให้อยู่ในเกณฑ์ที่พอเหมาะ ลดโอกาสในการติดเชื้อ
- นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ช่วงไหนนอนหลับยากแนะนำให้รับประทานกล้วยหอมเพื่อให้ร่างกายได้รับทริปโตเฟน ตัวช่วยทำให้นอนหลับง่ายขึ้น
- พกร่ม เสื้อกันฝน และผ้าขนหนู เผื่อหากเจอฝนจะได้มีอุปกรณ์ป้องกันฝน หรือมีร่างกายส่วนไหนเปียกปอนจะได้ใช้ผ้าขนหนูเช็ดให้แห้ง ป้องกันอาการป่วยในเบื้องต้นได้
- ทำตัวให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอ เพื่อให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรค ลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการป่วย เช่น เชื้อรา การติดเชื้อทางผิวหนัง และโรคปอดบวม
- อยู่ให้ห่างจากพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง รวมทั้งน้ำสกปรกทุกชนิด เพื่อป้องกันโรคฉี่หนูและโรคติดเชื้อทางผิวหนัง
- พยายามอย่าให้ยุงและแมลงทุกชนิดกัดต่อย เนื่องจากฤดูฝนเป็นช่วงที่ไข้เลือดออกกำลังระบาด หรืออย่างน้อย ๆ ควรป้องกันยุงกัดด้วยการทายากันยุงไว้ก่อนด้วย
- เลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ ถูกสุขลักษณะ เพื่อป้องกันความเสี่ยงโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร
- รับประทานสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ข่า ขิง กระเทียม และขมิ้น ซึ่งล้วนมีสรรพคุณช่วยรักษาอุณหภูมิและส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีฤทธิ์เย็นและรสขม เพราะอาหารเหล่านี้เป็นต้นเหตุให้อุณหภูมิในร่างกายลดลงต่ำกว่าเดิม ส่งผลให้ระบบการย่อยทำงานหนัก ย่อยยากยิ่งขึ้น
- พยายามเลี่ยงการอยู่ในที่แออัด ไม่ปลอดโปร่ง หรือในที่อับชื้น เพราะอาจทำให้ติดเชื้อง่าย ให้อยู่ในสภาพอากาศที่ปลอดโปร่ง แห้ง และสะอาดดีกว่า
- ล้างมือบ่อย ๆ อย่าลืมว่ายิ่งอากาศชื้นมากเท่าไร บรรดาเชื้อโรค เชื้อรา และแบคทีเรียยิ่งเจริญเติบโตไว ฉะนั้นเราจึงมีโอกาสสัมผัสกับเชื้อโรคเหล่านี้ได้ง่ายมาก จึงควรต้องล้างมือเพื่อสุขอนามัยที่ดีอยู่เสมอ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นปกติ และระบบภูมิคุ้มกันทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
สุขภาพดีในหน้าฝนมีได้ง่ายมากจริง ๆ เห็นไหมคะ และหากใครไม่อยากป่วยในฤดูฝนนี้ก็อย่าลืมดูแลสุขภาพให้ดีอย่างที่เราแนะนำกันด้วยนะคะ
ที่มา : Kapook
ที่มา : Kapook
"องุ่น" ผลไม้ลูกจิ๋วประโยชน์แจ๋ว
"องุ่น" ผลไม้ลูกจิ๋วประโยชน์แจ๋ว
ผลไม้ในประเทศไทยนั้น มีมากมายหลากหลายชนิด แต่ละชนิดให้รสชาติ และคุณประโยชน์ที่แตกต่างต่างกัน อย่างกล้วยน้ำว้า ที่มีประโยชน์ป้องกันโรคได้ตั้งแต่ดิบยันสุก "'กล้วยน้ำว้า'ผลไม้สารพัดประโยชน์ รักษาโรคตั้งแต่ดิบยันสุก"
แต่ในวันนี้ เรามีผลไม้ทางเลือกสำหรับผู้รักสุขภาพอีกหนึ่งชนิดมานำเสนอ เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ ให้ผลดีกับร่างกายมากกว่ารูปร่างของมัน เจ้าผลไม้ชนิดที่ว่านั่นคือ องุ่น ผลไม้ลูกจิ๋วที่มีหลายสี ซึ่งแต่ละสีมีคุณสมบัติและประโยชน์ที่แตกต่างกัน อยากรู้ว่าต่างยังไงตามมาอ่านกัน
องุ่นดำ : จากการศึกษาพบว่า องุ่นดำอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ทำให้รู้สึกอิ่มนาน ไม่ต้องหาของกินเล่นอย่างอื่นมาทานเพิ่ม และให้แคลอรี่ต่ำ ทำให้การทำงานของลำไส้เป็นไปตามปกติ นอกจากนี้สารแอนติออกซิแดนท์ในองุ่นดำยังช่วยในการขับท็อกซินออกจากร่างกาย ซึ่งช่วยในกระบวนการลดน้ำหนักให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วยค่ะ
องุ่นเขียว : องุ่นเขียวอุดมไปด้วยสารพฤกษเคมีซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ เช่น คาเตชิน (Catechin) และเทอร์ซอทิลบีน (Ptersotilbene) องุ่นเขียวจึงช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคของระบบประสาท โรคอัลไซเมอร์ และลูคีเมีย ตลอดจนป้องกันการติดเชื้อราและเชื้อไวรัสต่างๆ
องุ่นแดง : องุ่นแดงนั้นจัดเป็นราชินีแห่งผลไม้ทุกชนิด และมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอีกมากมาย เพราะสีแดงเข้มของผลองุ่นประกอบด้วย สารฟลาวโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และมีสารอาหารสำคัญ คือ เรสเวอราทรอล (Resveratrol) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคหัวใจ และช่วยชะลอความแก่ นอกจากนี้ยังมีสารซาโปนิน (Saponin) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านแบคทีเรีย ไวรัส สามารถป้องกันการเกิดเนื้องอก ลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ซึ่งส่งผลต่อการป้องกันโรคหัวใจได้อีกด้วย
นอกจากคุณสมบัติและคุณประโยชน์ที่กล่าวไปข้างต้นนี้แล้ว องุ่นทุกสิ ทุกสายพันธุ์ ยังอุดมไปด้วยวิตามินซี ยิ่งทานยิ่งดีต่อผิวพรรณนะคะ
ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า
ผลไม้ , องุ่น , ประโยชน์ , อาหาร , คอเลสเตอรอล
น้ำอัดลม ดื่มมากเกิน เสี่ยงเป็นโรคตับ
ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยทัฟท์ส ในสหรัฐ เปิดเผยผลการศึกษาจากกลุ่มอาสาสมัครมากกว่า 2,634 คน ในวัยกลางคนทั้งเพศชายและหญิงในการวัดปริมาณเครื่องดื่มน้ำอัดลมและเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนในแต่ละวัน
ผลการศึกษาพบว่า การดื่มน้ำอัดลมมากเกินวันละ 2 กระป๋อง เสี่ยงทำให้เกิดโรคตับในภายหลังได้ เนื่องจากสารให้ความหวานที่บรรจุในน้ำอัดลมมีความเชื่อมโยงต่อการเกิดโรคไขมันพอกตับ (เอ็นเอเอฟแอลดี) ไม่เพียงแต่เท่านี้ สารให้ความหวานในน้ำอัดลมยังมีความเชื่อมโยงกับโรคเบาหวานกับโรคหัวใจในภายหลังได้
อย่างไรก็ตาม ทีมนักวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า การศึกษาไม่พบความเชื่อมโยงว่าเครื่องดื่มอัดลมแบบไดเอต หรือที่ปราศจากน้ำตาลจะมีผลต่อการเกิดโรคไขมันพอกตับ
ดังนั้น หากจะเลือกดื่มน้ำอัดลมก็ควรจะเลือกที่ดีต่อสุขภาพ แต่เอาเป็นว่า เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี เลือกดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำสมุนไพรจะดีที่สุด
ที่มา : เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์
เครื่องดื่ม , โรค , ไต
5 อาหารควรเลี่ยง ในช่วงที่กินยาปฏิชีวนะ
หากกำลังรักษาอาการป่วยด้วยยาปฏิชีวนะอยู่ อย่าเผลอกินอาหารเหล่านี้เชียว ไม่อย่างนั้นคุณอาจได้รับสิทธิ์ป่วยต่ออย่างไม่ต้องสงสัย
1. อาหารและเครื่องดื่มที่มีกรดผสมอยู่
อาหารและเครื่องดื่ม เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว, ช็อกโกแลต, น้ำอัดลม, โซดา และอาหารที่มีส่วนผสมของมะเขือเทศอย่างซอสมะเขือเทศ จะส่งผลให้ร่างกายดูดซึมเคมีจากตัวยาได้น้อยลง จากที่อาการป่วยจะหายเพราะยาเหล่านี้ เชื้อโรคและแบคทีเรียเลยได้ลอยนวลต่ออีกหน่อย
2. ผลิตภัณฑ์จากนม
แคลเซียมจากผลิตภัณฑ์ประเภทนมจะเข้าไปขัดขวางร่างกายให้ดูดซึมยาปฏิชีวนะได้อย่างลำบากมากยิ่งขึ้น แต่มีผลิตภัณฑ์จากนมเพียงอย่างเดียวที่สามารถกินร่วมกับการกินยาปฏิชีวนะได้ ซึ่งก็คือ โยเกิร์ต นั่นเองค่ะ เพราะโยเกิร์ตเป็นผลิตภัณฑ์จากนมที่มีโพรไบโอติกส์อยู่ และโพรไบโอติกส์ตัวนี้นี่แหละที่จะช่วยกระตุ้นให้กระเพาะผลิตแบคทีเรียชนิดดีออกมาต่อสู้กับเชื้อโรคร้าย สาเหตุของอาการป่วยกระเสาะกระแสะ อีกทั้งโพรไบโอติกส์ยังช่วยป้องกันอาการท้องเสียซึ่งเป็นผลข้างเคีียงจากการกินยาปฏิชีวนะในบางคนได้ด้วย
3. แคลเซียมและธาตุเหล็ก
แคลเซียมและธาตุเหล็กชนิดที่เป็นวิตามินเสริมสำหรับร่างกายเป็นอาหารที่ควรเลี่ยงในขณะที่รับประทานยาปฏิชีวนะเช่นกันค่ะ เพราะทั้งสองธาตุนี้อาจเข้าไปขัดขวางการดูดซึมยาปฏิชีวนะได้ ทว่าหากจำเป็นต้องรับธาตุเหล็กและแคลเซียมเพื่อบำรุงร่างกายจริง ๆ อย่างน้อยควรกินอาหารเสริมเหล่านี้หลังรับประทานยาปฏิชีวนะไปแล้ว 3 ชั่วโมง
4. อาหารที่มีไฟเบอร์สูง
อาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ยังคงดีต่อสุขภาพของเราอยู่ค่ะ โดยเฉพาะกับคนที่อยู่ในช่วงไดเอต ทว่าหากคุณกำลังกินยาปฏิชีวนะก็ขอให้เลี่ยงอาหารที่มีไฟเบอร์สูงไปก่อน เนื่องจากอาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์เหล่านี้จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งไม่ทันใจตัวยาปฏิชีวนะเขาล่ะสิ ดังนั้นแทนที่ตัวยาจะถูกดูดซึมไปรักษาจุดนั้นจุดนี้ที่เกิดอาการป่วย ก็กลับต้องติดแหง็กอยู่ในกระบวนการย่อย ในขณะที่ฤทธิ์ของยาก็แผ่วลงทุกวินาที
5. เครื่องดื่มแอลกออฮอล์
อันที่จริงแล้วแอลกอฮอล์ก็ไม่ได้ขัดขวางการทำงานของยาปฏิชีวนะซะทีเดียวหรอกนะคะ เพียงแต่ว่าแอลกอฮอล์จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดแผลในกระเพาะและอาการคลื่นเหียนเวียนศีรษะ และที่แน่นอนเลยก็คือ แอลกอฮอล์เป็นสาเหตุให้เรานอนไม่ค่อยหลับ ดังนั้นหากต้องกินยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาอาการป่วยอยู่ละก็ ทางที่ดีงดดื่มไปสักพักก่อนดีกว่า เอาไว้ร่างกายฟิตเปรี๊ยะเมื่อไรค่อยว่ากัน
นอกจากการรับประทานยาปฏิชีวนะรักษาอาการป่วย และพยายามหลีกเลี่ยงอาหาร 5 ชนิดที่เตือนไปแล้ว หากคุณกำลังป่วยอยู่ก็ควรพักผ่อนให้เต็มที่ จะได้หายป่วยไว ๆ เนอะ
ที่มา Kapook
ที่มา Kapook
สุขภาพ , อาหาร , เครื่องดื่ม , ยา
น้ำตาลฟอกขาว ตัวการทำลายสมองไม่รู้ตัว
น้ำตาลฟอกขาวหรือน้ำตาลทรายขาวที่เราบริโภคกันอยู่ทุกวันแสดงได้ถึงความนิยมของผู้บริโภค แต่หลายคนอาจนึกไม่ถึงว่าน้ำตาลทรายขาวที่ผ่านกระบวนการฟอกสีมาจนดูบริสุทธิ์นั้นแฝงอันตรายต่อสุขภาพและสมองของเราเท่าไร
โดยเคมีจากน้ำตาลทรายขาวจะเข้าไปยับยั้งการผลิตอาหารของเซลล์ประสาทสมอง (BDNF) ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญของโกรทฮอร์โมนในเซลล์สมอง ขัดขวางให้เซลล์ประสาทสมองไม่สามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระทบกับความสามารถของสมองในด้านการจดจำ
อีกทั้งน้ำตาลทรายขาวยังเป็นสาเหตุของอาการอักเสบ ซึ่งก็กระทบกับระบบภูมิคุ้มกันและระบบย่อยอาหารไปด้วย และหากอาการอักเสบที่ว่าเป็นอาการอักเสบชนิดเรื้อรัง อาจส่งผลให้เป็นโรคจิตเภทและโรคซึมเศร้าได้
ฉะนั้น ดร. อัลลาดิ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยแคนซัส จึงแนะนำให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้างดรับประทานน้ำตาลทรายขาวอย่างเด็ดขาด และพบว่า ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่งดรับประทานน้ำตาลทรายขาวมีแนวโน้มอารมณ์แจ่มใสและอาการซึมเศร้าบรรเทาลงอย่างเห็นได้ชัด
ที่มา : Kapook