- Home
- Our Tips
(Non) secret tips for good health: how to simply maintain good physical and mental health? Did you know how dangers from food and daily conducts affect your health? Gracz would like to give you some of the (non) secret tips for maintaining good health...
4 เหตุผล ที่เราสนับสนุนให้คุณกินดาร์กช็อคโกแลต
ใครกลัวกินดาร์กช็อคโกแลตแล้วอ้วน เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ไม่อ้วนแน่นอนแถมได้ประโยชน์เพิ่มอีก
→ ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีที่เป็นอันตราย
สาร flavonols (เกิดขึ้นตามธรรมชาติในพืช) ที่พบในดาร์กช็อคโกแลตนั้น ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่จะช่วยให้ผิวของเราสามารถป้องกันตัวเองจากการถูกแดดเผา หรือเมื่อโดนรังสี UV
→ ช่วยให้ผิวชุ่มชื่น
เพราะมันเต็มไปด้วยธาตุเหล็ก แคลเซียม และวิตามิน A, B1, C, D และ E ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีสภาพผิวแห้ง
→ ช่วยลดริ้วรอยจากความเครียด
เพราะดาร์กช็อคโกแลตจะช่วยลดฮอร์โมนความเครียด ถ้าเป็นคนเครียดมากๆ ควรพกดาร์กช็อคโกแลตติดไว้ในกระเป๋า เครียดเมื่อไหร่ก็หยิบมากินคลายเครียดได้ดี
→ กระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโตของเส้นผม
เพราะช็อคโกแลตนั้นอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก สังกะสี และทองแดง ซึ่งเจ้าแร่ธาตุทั้งหมดนี้จะไปช่วยเร่งการผลัดเซลล์ และการไหลเวียนของเลือดและออกซิเจน เพื่อไปกระตุ้นให้หนังศีรษะแข็งแรง ช่วยให้ผมหนาขึ้นและมีสุขภาพดี
ที่มา : SpokeDark TV
“ชา” ที่ให้อะไรมากกว่า “ชา”
ชาเขียว ถูกประเมินค่าให้มันเป็นมากกว่าแค่เครื่องดื่มเคียงของว่างยามบ่าย ผงชาเขียวถูกนำมาประกอบอาหารหลากหลายประเภทมากขึ้น ไม่ว่าจะประยุกต์กับอาหารคาว เช่น การผสมผงชาเขียวลงในเส้นบะหมี่ซุปมิโสะชาเขียว ซอสชาเขียว ข้าวผัดชาเขียว ฯลฯ หรือว่าจะนำมาประยุกต์กับของหวาน จำพวก เค้ก โรล ไอศกรีม ช็อกโกแลตชาเขียว คุกกี้ มาการอง ฯลฯ
ประโยชน์ทางด้านการแพทย์นั้น มีมากจนบรรดาแพทย์ถึงกับขนานนามว่าเป็น “อาหารเสริมสุขภาพ” โดยแท้ ซึ่งนอกจากจะมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างที่เคยได้ยินกันทั่วไปแล้ว ชาเขียวยังช่วยในเรื่องโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ดังนี้
✔ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดอุดตัน
✔ลดความเสี่ยงมะเร็งหลายชนิด
✔ลดความดันโลหิต
✔ส่งเสริมระบบภูมิต้านทาน
✔เพิ่มความหนาแน่นกระดูก ป้องกันไขข้ออักเสบ
✔ลดน้ำหนัก
✔ป้องกันโรคกระเพาะ
ต่อสู้กับไข้หวัด
ที่มา : Yaklai
เครื่องดื่ม , ชาเขียว , ชา , ประโยชน์
สมุนไพร กับการรักษาโรคมะเร็ง
สมุนไพร กับการรักษาโรคมะเร็ง ส่งผลดีผลเสียอย่างไร นพ.อดุลย์ รัตนวิจิตราศิลป์มีคำตอบ
การรักษามะเร็งในแผนปัจจุบัน มีทั้งการผ่าตัด ฉายแสง และเคมีบำบัด ซึ่งยาเคมีบำบัดส่วนหนึ่งจะมีสารประกอบที่สำคัญจากสมุนไพร เช่น ยา vincristine หรือ vinblastine ซึ่งใช้ในการรักษาโรคมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นยาที่มีสารตั้งต้นจากต้นพังพวย (Catharanthusroseus) เป็นต้น
กว่าที่สมุนไพรจะกลายมาเป็นส่วนประกอบของยาเคมีบำบัดนั้น ต้องได้รับการศึกษาและพัฒนาตามขั้นตอน จนทำให้ทราบถึงกลไกการออกฤทธิ์ที่ชัดเจน วิธีใช้ และข้อบ่งชี้ได้อย่างถูกต้อง ชัดเจนเสียก่อน
หากแต่สมุนไพรที่ใช้กันทั่วไปในท้องตลาด อาจเป็นสมุนไพรเดี่ยวหรือสมุนไพรหลายตัวที่อยู่ในตำรับยา จะมีส่วนประกอบทางเคมีของสารหลายอย่างที่ไม่สามารถบอกได้ว่า สารตัวใดที่มีผลต่อมะเร็งโดยตรง และนอกจากนี้ยังไม่สามารถควบคุมความเข้มข้นได้ ทำให้ไม่ทราบทั้งประสิทธิภาพหรือพิษที่ชัดเจนของสมุนไพรที่นำมาใช้
รวมถึงการใช้สมุนไพรในปัจจุบันจะมีข้อจำกัดอยู่มากในการรักษามะเร็ง อาจเกิดข้อเสียได้คือ
1. การใช้สมุนไพรที่ไม่ทราบขนาดของยาและสารออกฤทธิ์ อาจจะได้สารพิษที่ปนมา เป็นเหตุให้ ตับ ไต หรือหัวใจเสื่อมลง
2. การรักษาด้วยสมุนไพร แล้วละเลยการรักษาแผนปัจจุบัน ทำให้โรคมะเร็งลุกลามมากขึ้น โอกาสของการรักษาให้หายมีน้อยลง
3. สมุนไพรอาจมีผลกระทบกับการรักษาในแผนปัจจุบัน โดยเพิ่มฤทธิ์หรือเพิ่มฤทธิ์ของยาแผนปัจจุบัน เช่น ทำให้เม็ดเลือดต่ำลง ติดเชื้อง่ายขึ้น เลือดออกง่ายขึ้น มีผลข้างเคียงของยามากขึ้น จนอาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย
ฉะนั้น การรักษามะเร็งด้วยสมุนไพร ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบและขอคำแนะนำจากแพทย์ รวมถึงควรมีการบันทึกข้อมูลการใช้สมุนไพรของผู้ป่วยอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นยาเคมีบำบัดชนิดกินผสมอยู่ในสมุนไพร หรือยาที่มีส่วนผสมของสมุนไพรใดๆ ก็ตาม
ที่มา : หมอชาวบ้าน
แค่ดื่มน้ำ สุขภาพก็ดี๊ดี
เดี๋ยวนี้เครื่องดื่มแสนอร่อย ดื่มแล้วสดชื่นมีให้เลือกกันมากมาย จนบางคนแทบจะไม่ค่อยได้ดื่มน้ำเปล่ากันเสียเลย ซึ่งนั่นส่งผลเสียต่อสุขภาพของเรา ลองมาดูประโยชน์ของการดื่มน้ำเยอะๆต่อวันซะก่อน แล้วจะรีบหันมาดื่มน้ำเปล่าแทนเครื่องดื่มรสอร่อยไม่ทันกันเลยเชียว
➤ ห๊ะ! ช่วยลดความอยากอาหารเนี่ยนะ
ในหนึ่งวันยิ่งดื่มน้ำเยอะเท่าไร ร่างกายก็จะรู้สึกอิ่มมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งช่วยลดความอยากอาหารหรือของกินจุกจิกได้
➤ ผิวสวยมีออร่าด้วยล่ะ
ดื่มน้ำเยอะๆวันละ 1 แกลลอนรับรองว่าผิวสวยใสเปล่งออร่า ปัญหาสิว ริ้วรอย หรือผิวหมองคล้ำจะหายไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
➤ ขับของเสียออกจากร่างกายอีกด้วย !
การดื่มน้ำเยอะๆช่วยให้การทำงานของลำไส้ใหญ่ดีขึ้น ปัญหาท้องผูกก็จะหมดไป แถมทำให้ปัสสาวะบ่อย ซึ่งของเสียในร่างกายก็จะออกมาด้วย
➤ โอ้ว..เผาผลาญแคลอรี
ดื่มน้ำเย็นใส่น้ำแข็งช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้ นั่นเพราะร่างกายต้องใช้พลังงานทำให้น้ำอุ่นขึ้นจึงกลายเป็นอีกวิธีในการเผาผลาญแคลอรี
➤ ปวดหัวหรอ? ไม่มีหรอก
บางครั้งการปวดหัวก็มีสาเหตุจากการสูญเสียน้ำนั่นเอง ดังนั้นดื่มน้ำเยอะๆช่วยได้แน่นอน
➤ มีกลิ่นปาก..ดื่มน้ำเสียสิ
การมีกลิ่นปากเป็นสัญญาณบอกได้ว่าเราดื่มน้ำไม่เพียงพอ เพราะน้ำจะช่วยให้ปากชุ่มชื้นและช่วยล้างแบคทีเรียในปากได้ยังไงล่ะ
➤ น้ำเนี่ย..ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโรคได้ด้วยนะ
ไม่ใช่แค่กินยาป้องกันโรคได้อย่างเดียว ดื่มน้ำเยอะๆก็ช่วยได้ เพราะการดื่มน้ำเยอะจะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งจะป้องกันคุณจากไข้หวัด มะเร็ง และโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
ถ้าแค่ดื่มน้ำในหนึ่งวันเยอะๆแล้วจะประโยชน์เพียบขนาดนี้ เราก็ควรหันมาดื่มกันนะคะ ^_^
ที่มา : Kapook
เครื่องดื่ม , น้ำ , ประโยชน์ , สุขภาพ
มีวิธีแก้ ! กินสับปะรดยังไงไม่ให้แสบลิ้น
ทำไมกินสับปะรดแล้วแสบลิ้น จะมีวิธีแก้ยังไงมาดูกันค่ะ
ก่อนอื่นเคยส่งสัยกันหรือไม่คะว่า ทำไมกินสับปะรดแล้วถึงแสบลิ้น ? สาเหตุนั้นมาจากเอนไซม์ที่ชื่อว่าโบรมีเลน(bromelian)ที่อยู่ในสับปะรดนั่นเองค่ะ เนื่องจากเจ้าเอนไซม์ตัวนี้มีคุณสมบัติย่อยโปรตีนได้ และที่ลิ้นของเราก็มีโปรตีนเคลือบอยู่ ดังนั้นพอเรากินสับปะรดเข้าไป โปรตีนที่ลิ้นของเราก็ถูกย่อยไปด้วยจนทำให้เรารู้สึกแสบลิ้นขึ้นมา
มาดูวิธีกินสับปะรดโดยไม่ให้แสบลิ้นกันดีกว่า !
วิธีทำก็ง่ายแสนง่ายเพียงเรานำสับปะรดที่ปอกแล้วไปแช่ในน้ำเกลืออ่อนๆเพียง 2-3 นาทีเท่านั้น หรือจะกินสับปะรดจิ้มกับเกลือแทนก็ได้ เนื่องจากเกลือจะช่วยลดความเข้มข้นของเอนไซต์ในสับปะรด คราวนี้ใครที่อยากกินสับปะรดแต่ไม่อยากแสบลิ้นก็กินได้โดยไม่ต้องทรมานตัวเองอีกแล้วค่ะ ^_^
ที่มา : Kapook
แช่อัลมอนด์ในน้ำค้างคืน ได้ประโยชน์กว่ากันเยอะ !
ประโยชน์ของอัลมอนด์ ถ้าอยากได้รับไปแบบเต็ม ๆ ก็ต้องนำเมล็ดดิบ ๆ ไปแช่น้ำค้างคืนไว้ก่อนแล้วค่อยทาน ถ้าสงสัยว่าเพราะอะไรก็ต้องอ่าน
อัลมอนด์ ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะมีสารพัดวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหารอัดแน่นอยู่ในเม็ดเล็ก ๆ แถมยังมีกรดไขมันจำเป็นที่ช่วยเพิ่มระดับไขมันดี (HDL) ในร่างกายได้อีกต่างหาก เลยมีคุณสมบัติช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ รวมทั้งต่อต้านอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ คนรักสุขภาพก็เลยนิยมทานถั่วอัลมอนด์กันมาก พากันซื้อหาอัลมอนด์ดิบ ๆ ที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งใด ๆ มาทานเป็นของว่าง หวังจะได้รับประโยชน์จากธัญพืชชนิดนี้
แต่รู้ไหมคะว่า การจะทานอัลมอนด์ก็มีเรื่องที่ควรรู้เหมือนกัน คือ ถ้าเราทานไม่ถูกวิธี เราก็อาจจะพลาดรับประโยชน์ดี ๆ เหล่านั้นไปก็เป็นได้ อย่างเช่นเรื่องที่ต้องนำอัลมอนด์ดิบไปแช่น้ำก่อนทาน เราเคยทราบเรื่องนี้กันไหม แล้วเพราะอะไร เราถึงต้องนำอัลมอนด์ดิบมาแช่น้ำค้างคืนไว้ก่อนจะนำมาทานด้วยล่ะ
คำตอบนั่นก็เพราะ "อัลมอนด์" เป็นธัญพืชที่มีเยื่อหุ้มหนา ๆ หุ้มอยู่ ดังที่เห็นเราเปลือกสีน้ำตาลนั่นเอง ซึ่งจะมีสาร หรือเอนไซม์หลายชนิดที่ช่วยปกป้องเมล็ดไม่ให้ย่อยสลายด้วยวิถีธรรมชาติก่อนถึงเวลาที่เหมาะสม เช่น ฟิติคเอชิด (Phytic Acid), โพลีฟีนอล (Polyphenol) หรือแทนนิน (Tannin) ซึ่งเอนไซม์ที่อาจส่งผลกระทบกับร่างกายเราได้ก็คือ ฟิติคเอชิด (Phytic Acid) ที่มีความสามารถในการจับแคลเซียม แมกนีเซียม ทองแดง เหล็ก ที่อยู่ในระบบลำเลียงอาหารของเรา ทำให้การดูดซึมจากถั่วเปลือกแข็งไม่มีประสิทธิภาพมากนัก
นี่คือเหตุผลที่เราต้องนำอัลมอนด์ไปแช่น้ำค้างคืนไว้ก่อนทาน เพื่อให้น้ำชะล้างสารเหล่านี้ออกไป อีกทั้งน้ำยังช่วยทำลายกลูเตน และสร้างเอนไซม์ที่มีประโยชน์ ทำให้โปรตีนอยู่ในสภาพพร้อมที่ร่างกายจะย่อยได้ทันที เราจึงจะสามารถรับประโยชน์จากอัลมอนด์ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
แล้วรู้อีกไหมว่าการนำอัลมอนด์ไปแช่น้ำ 1 คืน จะทำให้อัลมอนด์ปล่อยเอนไซม์ไลเพส (Lipase) ออกมา ซึ่งเอนไซม์นี้จะไปช่วยทำให้การย่อยสลายไขมันชนิดไม่ดีต่าง ๆ ในร่างกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น
ส่วนคนที่มีปัญหาเรื่องฟัน คราวนี้ก็จะเคี้ยวอัลมอนด์ได้ง่ายขึ้นแล้ว เพราะเมล็ดอัลมอนด์ที่แช่น้ำจะอ่อนนุ่มขึ้น และการนำอัลมอนด์ไปแช่น้ำยังจะทำให้ระบบย่อยอาหารไม่ต้องทำงานหนักด้วย เพราะอัลมอนด์จะถูกย่อยได้ง่ายขึ้น ตรงกันข้ามกับการทานอัลมอนด์ดิบ ๆ ที่ไม่ได้แช่น้ำ รู้สึกไหมว่าบางครั้งเราทานเข้าไปแล้วมีอาการท้องอืด เพราะอัลมอนด์ย่อยยากนั่นเอง
ที่มา : Kapook
ประโยชน์ของแก้วมังกร ที่สาว ๆ รักสุขภาพควรรู้
ประโยชน์ของแก้วมังกร ผลไม้ที่ใคร ๆ ก็รู้จักกันดี แต่สาว ๆ จะรู้ไหมว่า แก้วมังกรนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายขนาดไหน อยากรู้มาดูกันเลย
🚼 ช่วยคลายร้อน
อากาศร้อน ๆ ในบ้านเราแบบนี้ ผลไม้ที่จะช่วยดับกระหายและช่วยคลายร้อนได้ดี ก็คือ "แก้วมังกร" นี่แหละค่ะ เพราะเมล็ดของแก้วมังกรนั้นอุดมไปด้วยไขมันที่ไม่อิ่มตัว ซึ่งจะสามารถต่อต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่นได้ ส่งผลให้บรรเทาอาการร้อนในร่างกายได้ดี
🚼 ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
แก้วมังกรสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้กับคนที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ไม่ต้องใช้อินซูลินได้ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยบรรเทาโรคโลหิตจาง ช่วยเพิ่มธาตุเหล็กให้แก่ร่างกาย และช่วยป้องกันหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้ด้วย
🚼 ช่วยลดน้ำหนัก
แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีแคลอรีต่ำ แต่มีคุณค่าทางอาหารสูง เรียกได้ว่าเหมาะที่จะเป็นอาหารสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการจะลดน้ำหนักเป็นอย่างมาก เพราะมีกากใยอาหารสูง กินแล้วจะอิ่มได้นาน และไม่ทำให้หิวบ่อย
🚼 ช่วยแก้อาการท้องผูก
อย่างที่บอกไปแล้วว่าแก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีกากใยอาหารสูง ดังนั้นจึงสามารถช่วยกระตุ้นให้ระบบขับถ่ายทำงานได้สะดวก ซึ่งจะช่วยแก้อาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี
🚼 ช่วยให้ผิวพรรณสดใส
ในแก้วมังกรมีแร่ธาตุมากมาย ไม่ว่าจะเป็น วิตามินซี โปรตีน แคลเซียม คลอโรฟิลล์ และฟอสฟอรัส ซึ่งสารอาหารเหล่านี้มีความจำเป็นต่อผิว ซึ่งจะช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูสดชื่นและเปล่งปลั่ง นอกจากนี้ยังจะช่วยชะลอริ้วรอยต่าง ๆ ได้อีกด้วย
🚼 ต่อต้านโรคมะเร็ง
แก้วมังกรสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ โดยเฉพาะแก้วมังกรพันธุ์เนื้อแดง เพราะจะมีสารไลโคปีนอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งนั่นเอง
🚼 ช่วยดูดซับสารพิษในร่างกาย
เมล็ดของแก้วมังกรสามารถช่วยดูดซับสารพิษต่าง ๆ ออกจากร่างกายได้ อย่างเช่น สารตกค้างที่มาจากยาฆ่าแมลงที่ติดมากับผักที่เรารับประทาน สารตกค้างจากตะกั่วที่มาจากควันท่อไอเสียรถ และสารพิษอื่น ๆ เป็นต้น
รู้ประโยชน์ดี ๆ แบบนี้กันแล้ว สาว ๆ คงเริ่มอยากที่จะรับประทานแก้วมังกรขึ้นมากันแล้วใช่ไหมล่ะคะ เอ้า ! ถ้าอย่างนั้นจะรอช้าอยู่ทำไม รีบไปหาซื้อมาตุนไว้รับประทานกันเลยดีกว่า
ที่มา : Kapook
มะรุม ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ แต่ยังไม่ชัดเรื่องการรักษา
มะรุม ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้จริง แต่เรื่องช่วยรักษาโรคยังไม่มีงานวิจัยรองรับ นักวิชาการเตือน อย่าเพิ่งเชื่อข้อมูลในเน็ต แนะปรุงมะรุมทานเป็นอาหาร ดีกว่ากินแคปซูล เพราะอาจอันตรายต่อตับ
เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2558 นายแพทย์นิเวศน์ บวรกุลวัฒน์ แพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงพืชสมุนไพรอย่าง "มะรุม" ว่า มีสรรพคุณช่วยขับลม ลดน้ำตาลในเลือด สามารถต่อต้านเซลล์มะเร็ง และต่อต้านการเกิดเนื้องอกได้ แต่ทั้งหมดนี้ทางคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการทดลองกับสัตว์เท่านั้น ยังไม่มีการทดลองกับคน
ทั้งนี้ หากต้องการรับประโยชน์จากมะรุมเต็มที่ ควรนำมาปรุงอาหารรับประทานเอง จะดีกว่าการทานมะรุมที่นำมาสกัดเป็นยา และหากทานเป็นยาก็ไม่ควรทานติดต่อกันเกิน 15 วัน อีกทั้งยังควรปรึกษาแพทย์ด้วย เพราะอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
ด้าน ผศ.ชนิพรรณ บุตรยี่ รองผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ ร่วมกับ ผศ.ศิริพร ตันติโพธิ์พิพัฒน์ นักวิจัยสถาบันโภชนาการ มหิดล ได้แถลงข่าวเรื่อง "มะรุมกับมะเร็งลำไส้ใหญ่" ระบุว่า จากที่ในโลกออนไลน์แชร์ข้อมูลว่า มะรุมสามารถรักษาโรคมะเร็ง หรือโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้นั้น ต้องระวัง เพราะขณะนี้ยังไม่มีงานวิจัยใดยืนยันเรื่องนี้ ขณะเดียวกันก็มีการนำมะรุมมาผลิตเป็นแคปซูลวางขายกันมากขึ้น จึงเกิดคำถามว่าหากทานมาก ๆ จะเป็นอันตรายหรือไม่
ด้วยเหตุนี้ สถาบันฯ จึงได้ร่วมกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ และคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการศึกษาตัวฝักมะรุม เพื่อศึกษาคุณสมบัติในการป้องกันและต้านภาวการณ์อักเสบของมะเร็งลำไส้ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยให้หนูทดลองกินมะรุมที่ผสมในอาหารปกติในปริมาณเทียบเท่ากับคน คือ 2 กรัมต่อน้ำหนักตัวต่อวัน เพื่อทดสอบเรื่องความปลอดภัยในการบริโภคมะรุม และเรื่องของการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
โดยจากการทดลองสรุปได้ว่า การกินฝักมะรุมต้มในแง่ของการป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่นั้นสามารถทำได้ ไม่ก่อผลใด ๆ แต่หากกินเพื่อการรักษาโรคมะเร็งต้องระวังเรื่องปริมาณ เนื่องจากเซลล์ไม่ลดลงเลย และไม่มั่นใจว่าจะเกิดผลเสียอย่างไร ดังนั้น ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ควรทานในปริมาณน้อย ๆ และควรปรึกษาแพทย์ที่ทำการรักษาจะดีที่สุด
ผศ.ชนิพรรณ ยังแนะนำว่า สามารถทานมะรุมได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณ เพราะกินมากอย่างไรก็จะถูกจำกัดด้วยความอิ่มอยู่แล้ว ดังนั้น จะไม่ทำให้ได้รับปริมาณมากเกินไป แต่ที่กังวลคือ การทานผลิตภัณฑ์แคปซูลต่าง ๆ ที่อาจจะทำให้ทานในปริมาณที่มากเกินไป ส่งผลต่อการทำงานของตับได้ ดังนั้นต้องระวังเรื่องข้อมูลที่ส่งต่อกันในไลน์ หรือในเฟซบุ๊ก เพราะยังไม่มีงานวิจัยใด ๆ รองรับ
ที่มา : Kapook
10 พฤติกรรมทำลายสุขภาพ ไม่ดีแบบนี้หยุดทำเถอะ
10 พฤติกรรมทำลายสุขภาพ ถ้ารู้ว่าไม่ดีต่อตัวเองแบบนี้แล้ว ก็หยุดทำตั้งแต่ตอนนี้เถอะเพื่อชีวิตที่ดี๊ดีของเรา
เคยสังเกตกันบ้างไหมว่า คนเราเดี๋ยวนี้เหมือนจะหันมาดูแลสุขภาพกันเยอะขึ้น แต่ก็มีอัตราการเป็นโรคกันมากขึ้นเช่นกัน นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าหลายคนเผลอทำพฤติกรรมทำลายสุขภาพ 10 อย่างนี้แบบไม่รู้ตัวน่ะสิ พอรู้แบบนี้แล้วบอกเลยว่าเลี่ยงทำด่วน ไม่อย่างนั้นสุขภาพจะแย่จนอาจจะต้องเสียเงินเข้าโรงพยาบาลมากมายเลยก็เป็นได้
📝 นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
บางคนอาจจะคิดว่า การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่ความจริงแล้วมันก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมามากมายอย่างที่คาดไม่ถึงเลยแหละ เพราะเวลาที่นอนหลับคือช่วงที่ร่างกายจะได้ฟื้นฟูตัวเอง และหากนอนหลับพักผ่อนเพียงพอ 7-9 ชั่วโมง ก็จะดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงที่จะเป็นไข้หวัดและอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ
📝 ดื่มน้ำสะอาดไม่เพียงพอ
รู้นะว่าในแต่ละวันคุณต้องยุ่งกับงานจนไม่มีเวลาได้ดื่มน้ำสะอาด ๆ อย่างเพียงพอ ซึ่งนี่แหละที่เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เลย เพราะการดื่มน้ำไม่เพียงแต่จะทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้น แต่ยังช่วยชะล้างของเสียในร่างกาย ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง และลดความตึงเครียดได้ด้วย รู้แบบนี้แล้วลองหาขวดน้ำหรือกระติกน้ำติดตัวไว้จิบน้ำสะอาดตลอดทั้งวันกันเถอะค่ะ
📝 กินอาหารสำเร็จรูปเยอะ
ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าทุกวันนี้อาหารสำเร็จรูปมีวางขายกันเพียบ เพราะชีวิตที่เร่งรีบของคนยุคนี้ จะให้เข้าครัวทำอาหารกินก็คงไม่ทันไปไหนกันพอดี ยังไงก็ต้องพึ่งอาหารแบบนี้แหละถึงจะอิ่มท้อง แต่อาหารเหล่านี้แหละที่เต็มไปด้วยโซเดียมและสารเคมีมากมาย ถ้ากินมาก ๆ แล้วสุขภาพแย่แน่นอน แล้วแบบนี้สู้ตื่นเร็วกว่าเดิมมาเตรียมทำอาหารเองดีกว่าไหมล่ะคะ
📝 เครียดบ่อย
หากคุณเป็นคนที่คิดมาก ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยหรืออะไรก็จะเก็บมาเครียดไปหมด สิ่งนี้แหละที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพมหาศาลเลยทีเดียว เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้สภาพจิตใจแย่หรือปวดหัวแล้ว ยังจะเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคร้ายตามมาอีกด้วย ทางที่ดีเปลี่ยนมาคิดบวกและปล่อยวางเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้างจะดีกับชีวิตมากกว่านะ
📝 ไม่ไปตรวจสุขภาพ
อย่ามัวแต่เข้าโรงพยาบาลไปพบแพทย์เฉพาะตอนป่วยไข้เลย เพราะคุณควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพบ้างอย่างน้อยปีละครั้ง เผื่อมีโรคหรือมีปัญหาสุขภาพตรงไหนจะได้แก้ไขได้ทันเวลายังไงล่ะ
📝 ไม่กินอาหารเช้า
ถึงแม้ว่าตอนเช้าทุกคนจะเร่งรีบจนแทบไม่มีเวลาทำอะไรเลย แต่ยังไงการกินอาหารเช้าก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาดเลยนะคะ เพราะถ้าพลาดมื้อเช้าไปแล้วละก็ จะส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง แถมยังเสี่ยงเป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคเส้นเลือดสมอง โรคหัวใจ และโรคเบาหวานอีกต่างหาก
📝 ไม่ออกกำลังกาย
ใครที่ชอบอ้างว่าไม่มีเวลาไปออกกำลังกายเลย บอกตรง ๆ ข้ออ้างนี้ฟังไม่ขึ้นอย่างแรง เพราะถึงแม้คุณจะไม่มีเวลาไปเข้าฟิตเนส ก็ยังออกกำลังกายเองที่บ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน กระโดดเชือก หรือการออกกำลังกายตามคลิปวิดีโอในอินเตอร์เน็ตที่ทำเองได้ที่บ้าน ถ้าไม่อยากให้สุขภาพแย่ไปก่อนละก็ รีบเริ่มออกกำลังกายกันเถอะ
📝 ติดสบายไม่ยอมเดิน
เดี๋ยวนี้การเดินทางสะดวกและมีหลายช้อยส์ให้เลือกมากขึ้น ก็เลยทำให้หลาย ๆ คนขี้เกียจมากยิ่งขึ้น ขนาดว่าแค่เดินไปซื้อของใกล้ ๆ ก็ยังต้องนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไป เพราะขี้เกียจเดินให้เหนื่อย หรือเวลาไปห้างก็ต้องจอดรถใกล้ประตูทางเข้าไว้ก่อนจะได้ไม่ต้องเดินไกล พอเข้าห้างก็ขึ้นลิฟท์เพราะไม่อยากเดินขึ้นบันได นี่แหละที่ทำให้ร่างกายไม่ได้ขยับเขยื้อน จึงทำให้เสี่ยงที่จะเกิดปัญหาสุขภาพและโรคต่าง ๆ มากมาย
📝 กินดึกเกินไป
สำหรับคนที่ชอบหิวตอนกลางคืนบ่อย ๆ ต้องห้ามใจตัวเองกันหน่อยแล้วล่ะ เพราะการที่กินอาหารดึกเกินไปนี่แหละ ที่จะส่งผลให้สุขภาพของคุณแย่ลงเรื่อย ๆ ทั้งทำให้เป็นโรคอ้วน กรดไหลย้อน และกระเพาะต้องทำงานอยู่ตลอดทั้งที่จริง ๆ ไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น
📝 ไม่ทาครีมกันแดด
อย่าเพิ่งคิดว่าการทาครีมกันแดดจะเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น เพราะความจริงแล้วรังสียูวีจากแสงแดดนี่แหละ ที่เป็นตัวทำลายผิวอย่างแรงเลย ถ้าไม่ทากันแดดทุกวันละก็ เชื่อสิคุณต้องเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งผิวหนัง และทำให้ผิวเหี่ยว มีริ้วรอย รวมทั้งจุดด่างดำต่าง ๆ ที่ไม่น่าดูเลยแหละ
เห็นไหมล่ะว่าเรื่องเล็กน้อยใกล้ตัวเหล่านี้ ก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพและโรคร้ายตามมามากมายได้เหมือนกัน ถ้าอยากสุขภาพดีใช้ชีวิตไปอีกนาน ๆ ก็หยุดทำซะตั้งแต่วันนี้เลยดีกว่าค่ะ
ที่มา : Kapook
ขิง สมุนไพรไทยกับโรคความดันสูง
โรคความดันโลหิตสูง เป็นอีกหนึ่งโรคยอดนิยมที่คนจำนวนมากมักป่วยกันและมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการรักษาโรคนี้นั้นนอกจากจะรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันและการทานยาควบคู่ไปแล้วนั้น ยังสามารถรักษาได้ด้วยการทานอาหารและการทานสมุนไพรของไทยได้อีกด้วย แถมสมุนไพรที่ว่านี้ หาซื้อได้ง่าย ทานง่าย และไม่ต้องผ่านวิธีการทำที่ยุ่งยาก
ขิง เป็นสมุนไพรโบราณที่นำมาใช้ในการรักษาโรคมากกว่า 5,000 ปี ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยย่อยอาหาร แต่ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วย ที่สำคัญควรใช้อย่างระมัดระวังเนื่องจากขิงเป็นพืชที่มีฤทธิ์ร้อน หากรับประทานมากไปอาจจะทำให้เกิดร้อนในและแผลในกระเพาะอาหารได้ นอกจากนี้ผู้ที่มีนิ่วในถุงน้ำดีและรับประทานยาละลายลิ่มเลือดควรปรึกษาแพทย์และระมัดระวังในการใช้อีกด้วยค่ะ
ที่มา : Thaihealth
น้ำผักผลไม้ ดื่มตอนไหนถึงดี?
มีหลายคนเข้าใจว่าการดื่มน้ำผลไม้หลังรับประทานอาหารแล้วจะได้ประโยชน์ แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิดที่สุด เพราะความจริงแล้วเราควรดื่มน้ำผักผลไม้ในตอนที่ท้องว่าง เนื่องจากร่างกายจะสามารถดูซับสารอาหาร วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ จากน้ำผักผลไม้ได้มากกว่า เมื่อเทียบกับการดื่มหลังรับประทานอาหารนั่นเองค่ะ
ครั้งถัดไปถ้าคิดจะดื่มน้ำผักหรือผลไม้ให้ได้ประโยชน์มากขึ้นลองดื่มตอนที่ท้องว่างดูกันนะคะ นอกจากนี้การดื่มน้ำตอนท้องว่างยังช่วยลดประมาณการรับประทานอาหารที่อาจมากกว่าปกติอีกด้วยค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก Kapook
ขอบคุณข้อมูลจาก Kapook
เครื่องดื่ม , น้ำผลไม้ , น้ำผัก , ร่างกาย , ประโยชน์
ผักชี สรรพคุณร้อยแปด
ผักชี เป็นผักที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว จึงมีการนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำอาหาร เพื่อทำให้อาหารมีกลิ่นหอม และด้วยสีที่เขียวสด และรูปร่างของใบ ที่มีความโดดเด่น ผักชีจึงยังทำหน้าที่ในการเป็นผักแต่งจานอาหาร ให้ชวนทาน จนหลายคนมีคำพูดที่ติดปากว่าผักชีโรยหน้า (หมายถึง โรยผักชีให้ดูสวยไว้ก่อน แต่รสชาติ ค่อยว่ากันทีหลัง)
ประโยชน์ของผักชี
ส่วนใหญ่เราจะใช้ส่วนต้น ผลและรากของผักชีในแพทย์แผนโบราณ เรามีการใช้ผักชีที่น่าสนใจไม่น้อย เช่น
→ ทั้งต้นนำมาต้ม หรือคั้นเฉพาะน้ำดื่ม มีสรรพคุณเป็นยาช่วยระบาย แก้หัดหรือผื่น ขับเหงื่อ ขับลม ท้องอืดท้องเฟ้อ
→ ผลแห้ง บดเป็นผง ต้มกับน้ำดื่ม ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร ทำให้เจริญอาหาร แก้หัด แก้บิด
→ หากเป็นริดสีดวงทวาร ให้นำผลไปคั่ว แล้วบดทาผสมกับเหล้า ทาวันละ 3-5 ครั้ง
→ บิด ถ่ายเป็นเลือด ใช้ผล 1 ถ้วย ชาตำละเอียด ผสมน้ำตาลทราย ทาน
→ มีอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ใช้ผล 2 ช้อนชา ต้มผสมน้ำดื่ม
→ เด็กเป็นผื่นแดง ไฟลามทุ่ง ( Erysipelas ) ให้ใช้ผักชี ตำพอก
→ ปากเจ็บ คอเจ็บ ปวดฟัน เอาเมล็ดมาต้มกับน้ำ ต้ม 5 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วน เอามาอมบ้วนปาก
ข้อมูลทางเภสัชวิทยา พบว่า ผล ที่แก่จะเป็นเครื่องเทศ ที่มีกลิ่นหอม เราจะใช้ผสมกับยาอื่น จะช่วยกระตุ้มต่อมในกระเพาะอาหารและลำไส้เพื่อที่จะให้ขับสารออกมามากขึ้น หรือน้ำดีมากขึ้น ทั้งนี้ การทานผักชี ยังมีข้อห้าม คือ อย่าทานมากเกินไป เพราะจะทำให้มีกลิ่นตัวแรง มีอาการตาลายและลืมง่ายได้
เครื่องดื่ม...ทำให้อ้วนได้จริงหรือ?
จะมีกี่คนที่คิดว่า เครื่องดื่มรสหวานเย็น หอมชื่นใจ ที่ดื่มอยู่ทุกวัน จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่เพิ่มความอ้วนให้กับเรา
มีรายงานการศึกษาจากต่างประเทศที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า นับวันคนทั่วโลกจะดื่มเครื่องดื่มชนิดต่างๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับความก้าวหน้าของธุรกิจและการตลาด ทำให้มีผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชนิดใหม่ๆ แปลกๆ มากมายมาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี และในจำนวนเครื่องดื่มที่บริโภคมากขึ้น เช่น กาแฟเย็นที่มีรสหวาน มัน หอม กลมกล่อม อุดมด้วยครีมและเนย จะส่งผลต่อน้ำหนักตัวและความอ้วนได้
1 ใน 3 ของความอ้วน... เกิดจากเครื่องดื่มรสหวาน
มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งสรุปว่า 1 ใน 3 ของความอ้วนหรือน้ำหนักของชาวอเมริกันที่เพิ่มมากขึ้น มีสาเหตุมาจากการบริโภคเครื่องดื่ม โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีรสหวานจากส่วนผสมของน้ำตาล และ/หรือครีมเทียมที่เสริมความมัน เพิ่มรสชาติของเครื่องดื่มให้กลมกล่อม น่ากิน
อธิบายได้ง่ายๆ ว่า เครื่องดื่มเหล่านี้มักผสมด้วยน้ำตาลและไขมัน ทำให้มีปริมาณสารอาหารที่ให้พลังงานเป็นจำนวนมาก ทางการแพทย์เรียกว่า มีแคลอรี (calories) เมื่อถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย แล้วไม่ถูกนำไปใช้เป็นพลังงาน ก็จะถูกนำไปสะสมเป็นไขมัน ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น และก็อ้วนขึ้นได้
นอกจากนี้ ยังมีอีกการศึกษาหนึ่งที่ติดตามกลุ่มตัวอย่างนานถึง 8 ปี พบว่า ผู้หญิงที่เพิ่มการดื่มเครื่องดื่มรสหวานอีกวันละ 1 แก้ว จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นถึง 8 กิโลกรัม ในช่วงที่ทำการศึกษาวิจัย ในขณะที่ผู้หญิงที่ลดเครื่องดื่มรสหวานลง 1 แก้ว/วัน จะสามารถลดน้ำหนักลงได้เพียง 2.8 กิโลกรัมเท่านั้น
เครื่องดื่มรสหวาน... เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
มีรายงานวิจัยหนึ่งพบว่า ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มรสหวานจากน้ำตาล จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดมากยิ่งขึ้น โดยเครื่องดื่มชนิดนี้จะส่งผลต่อขนาดของสารแอลดีแอล หรือไขมันไม่ดี (LDL : low density lipoprotein) ระดับน้ำตาลในเลือด และสาร C-protein นอกจากนี้ เครื่องดื่มรสหวานยังส่งผลทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน โรคฟันผุ อีกด้วย
ที่มา : เว็บไซต์หมอชาวบ้าน
เครื่องดื่ม , กาแฟ , โรค , โรคหัวใจ , อ้วน
ผลไม้แก้ท้องผูก กินให้ถูกก็โล่งสบายท้อง
วิธีแก้ท้องผูก แค่เลือกกินผลไม้ให้ถูกโฉลกกับอาการท้องผูก ก็ช่วยแก้อาการท้องผูกแบบอิ่มอร่อยไปได้ในตัว
ท้องผูกบ๊อยบ่อยไม่รู้จะทำยังไงดี กินน้ำเยอะ ๆ ก็แล้ว เน้นผักผลไม้ทุกมื้ออาหารก็แล้ว ยังต้องเจอกับปัญหาท้องผูกไม่จบสิ้น ใครทนอึดอัดกับอาการท้องผูกมานาน วันนี้มีผลไม้แก้ท้องผูกมาฝาก อึดอัดเพราะถ่ายไม่ออกมานาน จัดไปให้ด่วนเลย
>> มะขามเปียก ถ้าท้องผูกขั้นสาหัสชนิดที่ถ่ายไม่ออกมาแล้วเกือบสัปดาห์ ก็จัดการแช่มะขามเปียก 1 ก้อนขนาดพอดีมือต่อน้ำอุ่นประมาณ 3 แก้ว ใช้ช้อนบี้ ๆ จนได้น้ำมะขามข้น ๆ จากนั้นดื่มให้หมดแก้วก่อนเข้านอน 2-3 ชั่วโมง ตื่นเช้ามารับรองว่าจะโล่งสบายท้อง แต่หากท้องผูกแบบเบาะ ๆ อาจนำมะขามเปียกที่แกะเมล็ดออกแล้วมาจิ้มเกลือกินเล่น ๆ สัก 5-10 ฝักก็ช่วยได้ อ้อ ! อย่าลืมดื่มน้ำตามมาก ๆ ด้วยนะ
>> กล้วยน้ำว้าสุก ในผลกล้วยน้ำว้าสุกจะประกอบไปด้วยเพกตินค่อนข้างสูง มีไฟเบอร์ช่วยเพิ่มกากอาหารให้ลำไส้ แถมในกล้วยน้ำว้ายังมีเมือกลื่นที่ช่วยให้การขับถ่ายสะดวกยิ่งขึ้น
>> มะละกอ มะละกอมีน้ำย่อยธรรมชาติในตัวเอง สามารถกำจัดคราบโปรตีนเก่า ๆ ที่ย่อยไม่หมดจนขัดขวางการขับถ่ายของลำไส้ออกไปได้ คราวนี้ของเสียก็จะถูกลำเลียงอย่างคล่องปรู๊ดแล้ว
>> สับปะรด ไม่เพียงแต่มะละกอเท่านั้นที่มีน้ำย่อยธรรมชาติในตัวเอง สับปะรดก็มีน้ำย่อยชนิดนี้อยู่ด้วยเช่นกัน ดังนั้นถ้าท้องผูกหรือถ่ายไม่คล่องก็ลองกินสับปะรดหวานฉ่ำช่วยแก้อาการท้องผูกได้เลย
>> แอปเปิลเขียว แอปเปิลเขียวอุดมไปด้วยไฟเบอร์ถึง 4.4 กรัม ต่อ 1 ผล ยิ่งกินแอปเปิลเขียวทั้งเปลือกจะช่วยเรื่องระบบขับถ่ายได้สุดยอดเลยล่ะ
>> กีวี อีกหนึ่งผลไม้ที่มีคุณสมบัติช่วยระบายโดยธรรมชาติอย่างกีวีก็สามารถช่วยแก้อาการท้องผูกได้อยู่หมัด โดยจะกินเป็นผลสด ๆ หรือจะนำไปปั่นเป็นน้ำกีวีสมูทตี้ก็อร่อยอย่าบอกใคร
ที่มา : Kapook
น้ำมะพร้าว ตอบโจทย์คนกลุ่มใด และคนแบบไหนต้องเลี่ยง
"น้ำมะพร้าว" มีทั้งสรรพคุณทางยา และคุณค่าอาหารครบเซ็ต คนปกติดื่มก็ว่าดีแล้ว ส่วนคนที่สุขภาพกำลังมีปัญหาก็จะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
"น้ำมะพร้าว" ตอบโจทย์คนกลุ่มใดบ้าง มาดูกัน
- นักกีฬา น้ำมะพร้าวเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่ที่ดีที่สุดสำหรับนักกีฬา เพราะมีทั้งโพแทสเซียมที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายและน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ทันที ฉะนั้น นักกีฬาที่ปล่อยพลังเกินร้อย จะสดใสขึ้นทันตาเห็น
- คนท้องเสีย เวลาท้องเสียร่างกายต้องเสียเกลือแร่ไปด้วย จนบางคนถึงกับช็อกไปก็มี แต่น้ำมะพร้าวช่วยชดเชยเกลือแร่ให้เราได้ ที่สำคัญไม่มีน้ำตาลขัดสีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอีกด้วย
- วัยรุ่น น้ำมะพร้าวมีสารอาหารที่ช่วยบำรุงสมองอยู่หลายชนิด วัยรุ่นวัยเรียนที่ดื่มเป็นประจำความจำจะดี ช่วยให้ผิวแข็งแรง ป้องกันสิวได้ดี
- คนที่มีอาการความดันต่ำ ที่คุณหน้ามืดบ่อยๆ ก็เพราะเลื่อดน้อย แต่โพแทสเซียมในน้ำมะพร้าวจะเข้าไปบำรุงและเพิ่มการสร้างเม็ดเลือด ระดับความดันจะเพิ่มขึ้นเป็นปกติ
- คนเป็นไข้ตัวร้อน หรือไข้ติดเชื้อ เวลามีไข้แต่หายาแก้ไข้ไม่ได้ น้ำมะพร้าวคือคำตอบเพราะมะพร้าวมีฤทธิ์เย็น ช่วยลดไข้ได้ และยังมีกรดลอริก (Lauric acid) ที่เป็นยาฆ่าเชื้อดื่มแล้วอาการติดเชื้อทั้งหลายจะดีขึ้น
แล้วใครบ้างที่ควรเลี่ยงน้ำมะพร้าว!?
- คนที่เป็นโรคไตเสื่อม น้ำมะพร้าวจะไปกระตุ้นการขับปัสสาวะ ถ้าร่างกายขาดน้ำ คนที่เป็นโรคไตอาจจะหัวใจวายได้
- คนที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ถ้าร่างกายได้รับโพแทสเซียมมากเกินไป อาจสร้างปัญหาให้หัวใจได้
ที่มา : SpokeDark .TV
น้ำ , ผลไม้ , เครื่องดื่ม , น้ำมะพร้าว , สุขภาพ , ร่างกาย